งานประสานงาน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กรุงเทพมหานคร
Maejo University Coordinating Office , Bangkok Thailand
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการนำผลงานทางวิชาการและผลงานการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ ระหว่าง สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา กับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
วันพุธที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่ห้องประชุม B1 -1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) กรุงเทพฯ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการนำผลงานทางวิชาการ และผลงานการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ ระหว่างสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา มหาวิทยาลัยแม่โจ้สำหรับพิธีลงนามดังกล่าว เป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการนำผลงานทางวิชาการและผลงานการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ ระหว่างสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา และรองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ลงนามในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ และมีนายพีระพจน์ รัตนมาลี รองเลขาธิการวุฒิสภา และรองศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีเงินยวง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ลงนามเป็นพยานทั้งนี้วุฒิสภาเป็นองค์กรนิติบัญญัติที่มุ่งปฏิบัติหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน มีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และการให้คำแนะนำหรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่ง การที่วุฒิสภาจะได้รับการสนับสนุนผลงานวิชาการและผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศที่มีผลงานวิชาการและผลงานวิจัย รวมทั้งนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ปรากฎในระดับประเทศ และระดับนานาชาติจะช่วยให้การพิจารณาตัดสินใจในภารกิจด้านต่าง ๆ ของวุฒิสภา และคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความละเอียด รอบคอบ และอยู่บนพื้นฐานของหลักคิดทางวิชาการมากยิ่งขึ้น การจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการในวันนี้ จึงถือเป็นทั้งโอกาสและนิมิตหมายที่ดีของความร่วมมือในการเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานเพื่อทำให้เกิดการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ และการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย ผลงานทางวิชาการ และนวัตกรรมร่วมกัน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและพัฒนาการของการประสานประโยชน์ระหว่างทั้งสามหน่วยงาน เพื่อรองรับการดำเนินงานในกระบวนการนิติบัญญัติ และเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน สังคม และประเทศชาติโดยรวม
18 กรกฎาคม 2568     |      72
น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้แถลงนโยบายการขับเคลื่อนกระทรวง อว. โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.(โยธี)
น.ส.สุดาวรรณ กล่าวว่า การเข้าทำงานในฐานะ รมว.อว. ตนตั้งใจที่จะทำให้งานอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อทำให้ประเทศไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลางและเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่และมีมูลค่าสูง ซึ่งต้องอาศัยกำลังคนทักษะสูง การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างผู้ประกอบการหรือ Tech Start-up ให้กับประเทศ ซึ่งแน่นอน กระทรวง อว. มีบทบาทสำคัญมากในเรื่องนี้ อีกทั้งตนเคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรม ดูแลงานท่องเที่ยวและโครงการ Soft Power ที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาลมาก่อน จึงทราบดีว่าการที่จะขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ ต้องอาศัยมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยต่างๆ เข้ามาช่วยสนับสนุนทั้งด้านการเตรียมคน การพัฒนาทักษะกำลังคน และการใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีใหม่ๆรมว.อว. กล่าวต่อว่า นโยบายการทำงานของกระทรวง อว.จะแบ่งเป็น 2 ด้าน ด้านแรก คือ การพัฒนากำลังคน เน้นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางการเข้าถึงอุดมศึกษาของคนในประเทศ พร้อมกับเรื่องการพัฒนากำลังคนของประเทศเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในปัจจุบันและอนาคต ได้แก่ 1.ส่งเสริมทุนเพื่อการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เช่น การอุดหนุนค่าสมัครการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา(TCAS) เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยจะสนับสนุนเงินอุดหนุนค่าสมัครสอบในการสอบวัดความถนัดทั่วไป TGAT ในอัตรา 140 บาทต่อคน ค่าสมัครสอบรอบที่ 3 แอดมิชชั่นในระบบ TCAS โดยผู้สมัครสามารถเลือกสมัครได้สูงสุด 7 อันดับฟรี ในอัตรา 600 บาทต่อคน และใน TCAS ปีนี้จะสนับสนุนค่าสมัครสอบวัดความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ TPAT1-5 เพิ่มเติม (TPAT 1 สอบ กสพท. อัตรา 800 บาทต่อคน และ TPAT 2-5 อัตรา 140 บาทต่อคน) ซึ่งคาดว่าจะมีนักเรียนและผู้ปกครองได้รับประโยชน์กว่า 733,750 คน และการสนับสนุนทุนเพื่อนักศึกษาพิการ ทุนเพื่อเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ทุน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และทุนอื่นๆ อีกจำนวน 7,900 ทุน แบ่งเป็นทุนคนพิการ 2,000 ทุน ทุนเพื่อเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล 3,173 ทุน ทุนสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 355 ทุน ทุนสำหรับนักศึกษาเรียนดีแต่ยากจน 80 ทุน สนับสนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศ (จังหวัดชายแดนภาคใต้) 2,324 ทุน และจะให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.ทุนเพื่อให้โอกาสเรียนปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก สำหรับเด็กเรียนดี จำนวน 2,800 ทุน ซึ่งจะมีทั้งทุนด้านวิทยาศาสตร์ และทุนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ฯ โดยเน้นการส่งเสริมกำลังคนตามความต้องการของประเทศ และปรับเงื่อนไขการรับทุนการชดใช้ทุนเพื่อให้ผู้รับทุนสามารถสร้างประโยชน์ในภาคเอกชนนอกเหนือจากภาครัฐอย่างเดียว และ 3. ทุนเพื่อพัฒนากำลังคนเฉพาะทางในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศอย่างเร่งด่วน เช่น ด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ด้าน AI ด้าน EV รวมถึง Soft Power หลายด้าน เช่น ด้านอาหาร ด้านท่องเที่ยว และด้านกีฬา เป็นต้น น.ส.สุดาวรรณ กล่าวอีกว่า ขณะที่ด้านที่สองคือการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ซึ่งกระทรวง อว. มีกองทุนส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม ที่ได้รับงบประมาณ 19,828 ล้านบาท ตนอยากเห็นว่า การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกิดผลกระทบ (Impact) จริงต่อทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคม จึงมีนโยบาย ดังนี้ 1.ขอให้เน้นประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน การจัดสรรทุน การจัดสรรงบประมาณไปยังหน่วยให้ทุนหรือ PMU และจาก PMU ไปยังมหาวิทยาลัยและนักวิจัย ต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมในทุกมิติทั้งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ ธุรกิจชุมชน SMEs อุตสาหกรรมสมัยใหม่ รวมถึงการทำวิจัยที่ส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้สมัยใหม่ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง 2.การนำ ววน. ไปช่วยสนับสนุนภาคเกษตร ให้สามารถแข่งขันได้ โดยต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ด้าน ววน. ไปช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ยกระดับคุณภาพผลผลิต การนำเทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัย สามารถควบคุมปัจจัยการผลิตต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เช่น การทำเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา เป็นต้น 3. นำ ววน. ไปช่วยเรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น PM 2.5 น้ำท่วม ภัยแล้ง เป็นต้น เพื่อพัฒนาและเร่งแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติ ในหลายๆ ด้าน และ 4. ส่งเสริมการวิจัยในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ส่งเสริมการสร้างอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของประเทศ ทั้งจากการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการสร้าง Deep tech start-up ในประเทศ เช่น ด้านยานยนต์สมัยใหม่ อาหารแห่งอนาคต เศรษฐกิจอวกาศ (Space economy) AI เซมิคอนดักเตอร์ และ อิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง“ที่สำคัญ ดิฉันและทั้งองคาพยพของกระทรวง อว.จะร่วมกันสร้าง “1 มหาวิทยาลัย 1 ภารกิจ เพื่อท้องถิ่น” เป็นการดึงศักยภาพทั้งกำลังของคนและวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของกระทรวง อว. มาสร้างการพัฒนาในระดับพื้นที่ เพราะปัจจุบันเรามี “อว. ส่วนหน้า” ประจำจังหวัดต่างๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่อยู่แล้ว และหลังจากนี้แต่ละหน่วยงาน ทั้งสถาบันอุดมศึกษา สถาบันวิจัย จะเข้าไปดูว่าในแต่ละพื้นที่ที่ตนดูแลหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง มีปัญหาอะไรที่ควรจะเข้าไปดูแลจัดการ โดยใช้การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เข้าไปช่วยในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น ปัญหาผลผลิตเกษตรตกต่ำ ปัญหาสภาพดิน ปัญหาโรคพืช ปัญหาแปรรูปสินค้า ปัญหา PM 2.5. ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง คุณภาพน้ำ ปัญหาขยะ เป็นต้น” น.ส.สุดาวรรณ กล่าว
14 กรกฎาคม 2568     |      71
ขอขอบคุณผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา ศิษย์เก่าแม่โจ้ ส่วนราชการ เอกชน ประชาชนทุกภาคส่วน ที่เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมเสริมสร้างอัตลักษณ์ลูกแม่โจ้ ประจำปี 2568
ขอขอบคุณผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา ศิษย์เก่าแม่โจ้ ส่วนราชการ เอกชน ประชาชนทุกภาคส่วน ที่เป็นกำลังสำคัญในการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมเสริมสร้างอัตลักษณ์ลูกแม่โจ้ ประจำปี 2568 ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย แม่โจ้ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และสืบสานประเพณีภายใต้บริบทของการเปลี่ยนแปลง เรายังคงยึดมั่นว่าจะผลิตบัณฑิตที่อุดมด้วยปัญญาและมีคุณค่าของสังคมสืบไป ขอแสดงความยินดีและต้อนรับอินทนิลช่อที่ 90สู่อ้อมอกแม่โจ้ "มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต" รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ 23/06/2568
24 มิถุนายน 2568     |      52
กิจกรรมรับขวัญน้องใหม่ กลัดเข็มผูกไท ร้อยดวงใจ สานสายใยอินทนิล เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่น้องใหม่ ลูกแม่โจ้รุ่นที่ 90
วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2568 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับ สมาคมศิษย์เก่าแม่โจ้ และองค์กรนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ จัดกิจกรรมรับขวัญน้องใหม่ กลัดเข็มผูกไท ร้อยดวงใจ สานสายใยอินทนิล เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่น้องใหม่ ลูกแม่โจ้รุ่นที่ 90 ที่ผ่านกิจกรรมเสริมสร้างอัตลักษณ์ลูกแม่โจ้อย่างสมบูรณ์ และสร้างความภาคภูมิใจในเครื่องแบบ เครื่องหมายสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย โดยมีคณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร ศิษย์เก่า ร่วมคล้องมาลัย เจิมหน้ารับขวัญน้องใหม่อย่างอบอุ่นโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก นายศิวะ ธมิกานนท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีพร้อมกล่าวต้อนรับและให้กำลังใจน้องใหม่แม่โจ้รุ่น 90 ที่เดินทางมาใช้ชีวิตในจังหวัดเชียงใหม่ และ รศ.ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวให้โอวาทแก่นักศึกษา มีคณะผู้บริหาร คณาจารย์ ศิษย์เก่า กล่าวมอบสัญลักษณ์พร้อมกลัดเข็มปกเสื้อและเข็มเนคไท ให้กับผู้แทนนักศึกษาใหม่แต่ละคณะ/วิทยาลัยจากนั้น เป็นพิธีมอบเสื้อสามารถให้กับนักวิ่ง และกิจกรรมประกอบช่ออินทนิล ช่อที่ 90 ซึ่งแต่ละคณะได้รับจากการ checkpoint จุดเส้นชัยในกิจกรรมเดิน วิ่ง แม่โจ้ – สันทราย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรัก ความผูกพัน ความสามัคคีของลูกแม่โจ้รุ่นที่ 90 ที่ได้ร่วมกันฝ่าฟันอุคสรรคจนประสบความสำเร็จนอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแสดงขบวนศิลปวัฒนธรรม และกิจกรรมภาคบันเทิง สร้างความสนุกสนานแก่นักศึกษา ณ สนามกีฬาอินทนิล มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่
23 มิถุนายน 2568     |      44
“ศุภมาส” ชงแผนรับมือ “นโยบายทรัมป์” เร่งช่วยนักเรียนทุนทั้ง FAFSA หรือ Fulbright และทุนอื่นๆ จัดหาทุนสำรอง ดูแลเรื่องวีซ่า โอกาสการทำงานในไทยหรือประเทศทางเลือก คลอด 3 มาตรการพลิกวิกฤตสู่โอกาส หาพันธมิตรประเทศทางเลือกที่มีนโยบายเปิดกว้าง เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน ออสเตรเลียพร้อมผลักดันไทยสู่ "Education Hub
          เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.68 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 มีมติรับทราบมาตรการรับมือผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ที่มีต่อระบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ของไทย เช่น นโยบาย “America First Foreign Aid”, การยกเลิกการสนับสนุนความหลากหลาย (DEI), และการปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มข้นขึ้น (Extreme Vetting) มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อความร่วมมือด้านการศึกษาและทุนวิจัยระหว่างไทยและสหรัฐฯ รวมถึงโอกาสของนักศึกษาและนักวิจัยไทยในสหรัฐอเมริกา           รมว.กระทรวง อว. กล่าวต่อว่า ที่ประชุมฯ ได้เน้นย้ำให้เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสในการสร้างความเข้มแข็งและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ซึ่ง กระทรวง อว.ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้เตรียมแผนรับมือ 3 ระยะ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเป็นระบบและทันท่วงที โดยได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่อระบบ อววน. ของประเทศไทย ประกอบด้วยแผนปฏิบัติการ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น (ภายใน 1 ปี): ตั้งรับเชิงรุก ช่วยเหลือนักศึกษาไทย ในระยะเร่งด่วน กระทรวง อว.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งสำรวจจำนวนนักเรียนนักศึกษาไทยที่พึ่งพาทุนรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น FAFSA หรือ Fulbright เพื่อเตรียมมาตรการช่วยเหลือเบื้องต้นผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทยในสหรัฐฯ พร้อมทั้งจัดทำบัญชีโครงการวิจัยที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อจัดหาทุนสำรองและกระจายความเสี่ยงโดยขยายความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงการมอบหมายหน่วยงานทำหน้าที่ให้คำแนะนำเรื่องวีซ่าและโอกาสการทำงานในไทยหรือประเทศทางเลือก         ส่วนระยะกลาง (1-3 ปี): ปรับกลยุทธ์ สร้างพันธมิตรใหม่ ประเทศไทยจะใช้การทูตผลักดันโครงการที่สอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เพื่อรักษาความร่วมมือ พร้อมกันนี้จะจัดทำข้อมูลแนะแนวการศึกษาต่อในประเทศทางเลือกที่มีนโยบายเปิดกว้าง เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน และออสเตรเลีย นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาหลักสูตรในไทยให้มีคุณภาพสูงเพื่อรองรับนักศึกษาไทยและต่างชาติ พร้อมออกมาตรการดึงดูดบุคลากรทักษะสูงทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับสู่ประเทศ และระยะยาว (มากกว่า 3 ปี): พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ผลักดันไทยสู่ "Education Hub"  โดยมุ่งเน้นการยกระดับมหาวิทยาลัยไทยและพัฒนาหลักสูตรนานาชาติ (International Programs) ในสาขาอนาคตที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะสร้างความร่วมมือกับอาเซียนและสหภาพยุโรปเพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการศึกษาและการวิจัย (Education Hub) ของภูมิภาค  และวางแผนพัฒนาภาคเอกชนไทยให้สามารถเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain)       “กระทรวง อว. มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อนักศึกษาและนักวิจัยของไทยที่อาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านสถานะวีซ่า การสนับสนุนทางการเงินและวิชาการ โดยขอให้มั่นใจว่ากระทรวง อว. ได้เตรียมมาตรการรองรับเพื่อดูแลทุกท่านอย่างดีที่สุด เพราะทุกท่านคือบุคลากรคุณภาพที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ” น.ส.ศุภมาส กล่าว
19 มิถุนายน 2568     |      60
ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัยร่วมภายใต้ความร่วมมือด้านอุดมศึกษาและการวิจัยระหว่างไทย - ฝรั่งเศส (Franco -Thai Mobility Programme/ PHC SIAM) ประจำปี พ.ศ. 2569 - 2570
ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัยร่วมภายใต้ความร่วมมือด้านอุดมศึกษาและการวิจัยระหว่างไทย - ฝรั่งเศส (Franco -Thai Mobility Programme/ PHC SIAM) ประจำปี พ.ศ. 2569 - 2570        สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ร่วมกับรัฐบาลฝรั่งเศส เปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัยร่วมภายใต้ความร่วมมือด้านอุดมศึกษาและการวิจัยระหว่างไทย-ฝรั่งเศส (Franco-Thai Cooperation Programme in Higher Education and Research/Franco-Thai Mobility Programme/ PHC SIAM) ประจำปี พ.ศ. 2569 - 2570 โดยผู้สนใจสามารถจัดทำข้อเสนอโครงการและเอกสารประกอบการสมัครจำนวน 8 ชุด (ต้นฉบับ 1 ชุด และสำเนา 7 ชุด) พร้อมหนังสือนำจากสถาบันอุดมศึกษาต้นสังกัดหรือสถาบัน/หน่วยงานวิจัยภายใต้ อว. ต้นสังกัดส่งไปยัง สป.อว. ภายในพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม 2568       ศึกษารายละเอียดและดาวน์โหลดใบสมัครและเอกสารประกอบการสมัครได้ที่ https://mhesi.e-office.cloud/d/76b4fbb3 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ผู้ประสานงานโครงการของ สป.อว. (นางสาววรรณี กล่อมละเอียด) โทร. 0 2610 5423 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ wannee.k@mhesi.go.th
26 พฤษภาคม 2568     |      91
มหาวิทยาลัยแม่โจ้บันทึกเทปถวายพระพรเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568
วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2568 รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บุคลากร นักศึกษา ร่วมบันทึกเทปถวายพระพร เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) จังหวัดเชียงใหม่
20 พฤษภาคม 2568     |      68
“ศุภมาส” เอาจริงแก้ปัญหานักศึกษาต่างชาติหนีมาทำงานในไทย ออกประกาศคุมเข้ม “หลักสูตรระยะสั้น (Non-degree) นักศึกษาต่างชาติ” ทุกสถาบันที่เปิดสอนต้องส่งหลักสูตร บันทึกการเข้าเรียน จำนวนนักศึกษามาให้กระทรวง อว.ตรวจสอบ ให้เรียนแบบออนไซต์ไม่น้อยกว่า 60% ออนไลน์ไม่เกิน 40% เวลาเรียนไม่เกิน 180 วัน มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 14 พ.ค.68
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.68 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า กระทรวง อว. ได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรระยะสั้น (Non-degree) สำหรับนักศึกษาต่างชาติของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2568 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการขออนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติพำนักอยูในประเทศไทยเป็นไปตามกฎหมายและข้อตกลงร่วมกันระหว่างกระทรวง อว. และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) โดยในประกาศฉบับนี้ได้กำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาดำเนินการอย่างรัดกุม ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพหลักสูตร การบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติ และการรายงานผลการดำเนินงานต่อกระทรวงอย่างต่อเนื่องรมว.กระทรวง อว.กล่าวต่อว่า สาระสำคัญของประกาศฯ คือ 1.สถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรระยะสั้นต้องมีความเชี่ยวชาญ มีความพร้อมทั้งในด้านเนื้อหา ผู้สอน และผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) ที่ชัดเจน เพื่อรักษามาตรฐานของการศึกษาไทย 2.สถาบันต้องจัดส่งข้อมูลหลักสูตรให้สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ทราบ อาทิ ชื่อหลักสูตร หน่วยงานและอาจารย์ผู้รับผิดชอบ วัตถุประสงค์ โครงสร้างและเนื้อหา รูปแบบการเรียนการสอน โดยต้องเรียนแบบออนไซต์ไม่น้อยกว่า 60% ออนไลน์ไม่เกิน 40% ของเนื้อหาวิชาและระยะเวลาของหลักสูตร ระยะเวลาของหลักสูตรไม่เกิน 180 วัน ตารางการเรียนการสอนรายวันและรายสัปดาห์ บันทึกการเข้าเรียน คุณสมบัติของนักศึกษา ระยะเวลาการรับสมัคร จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่เปิดรับ รวมถึงภาษาที่ใช้ สถานที่เรียน และวิธีการประเมินผล 3.สถาบันต้องดำเนินการออกหนังสือรับรองและขอให้นักศึกษาต่างชาติพำนักอยู่ในประเทศไทยเพื่อการศึกษาในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ตามความเหมาะสมและความจำเป็นของหลักสูตร โดยต้องไม่เกินครั้งละ 180 วัน และควรมีการตรวจสอบผลการศึกษา กรณีนักศึกษาต่างชาติเคยเข้าศึกษาในหลักสูตรอื่นๆ ของสถาบันอุดมศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งมาก่อน 4.เมื่อ สตม.อนุญาตให้พำนักในราชอาณาจักรเพื่อศึกษาหลักสูตรดังกล่าว สถาบันต้องรายงานข้อมูลนักศึกษาต่างชาติให้สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ทราบภายใน 30 วัน 5.สถาบันต้องกำหนดแนวปฏิบัติในการตรวจสอบการเข้าเรียนของนักศึกษาต่างชาติ และต้องจัดส่งรายงานความก้าวหน้าในการศึกษาของนักศึกษาในหลักสูตรดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือนผ่านระบบฐานข้อมูลติดตามนักศึกษาต่างชาติของสำนักงานปลัดกระทรวง อว. โดยต้องระบุรายชื่อนักศึกษาที่กำลังศึกษา พ้นสภาพ และสำเร็จการศึกษาอย่างครบถ้วนและ 6. หากพบว่าสถาบันใดดำเนินการไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ สำนักงานปลัดกระทรวง อว. จะแจ้งให้สภาสถาบันพิจารณายกเลิกการเปิดหลักสูตรดังกล่าว“หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติใหม่นี้นอกจากจะทำให้การพำนักและศึกษาในประเทศไทยของนักศึกษาต่างชาติเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังจะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นในระบบการศึกษาระยะสั้นของไทย เป็นที่ยอมรับระดับสากลและสนับสนุนให้นักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาในประเทศมากยิ่งขึ้น ภายใต้ระบบที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ“ น.ส.ศุภมาส กล่าว
19 พฤษภาคม 2568     |      132
ทั้งหมด 24 หน้า