งานประสานงาน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กรุงเทพมหานคร
Maejo University Coordinating Office , Bangkok Thailand

                    

                

                        

          

ข่าวกิจกรรม

อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้เข้าร่วมพิธีเปิดงานนิทรรศการการศึกษาไต้หวันและเส้นทางสู่อาชีพ ประจำปี 2568 และลงนามความร่วมมือด้านวิชาการด้านการศึกษากับมหาวิทยาลัยในไต้หวัน
วันที่ 30 - 31 สิงหาคม 2568 รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดี เข้าร่วมพิธีเปิดงานนิทรรศการการศึกษาไต้หวันและเส้นทางสู่อาชีพ ประจำปี 2568 ”2025 Taiwan Higher Education Fair & Job Counseling ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ฮอลล์ 1 ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพฯ ในการนี้ อธิการบดีได้ร่วมลงนามความร่วมมือทางวิชาการ International Talent Circulation Base (INTACT Base) ร่วมกับมหาวิทยาลัยในไต้หวัน National Pingtung University of Science and Technology National, Chung Hsing University และ National Sun Yat-sen University ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาพันธมิตรมีความประสงค์ที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์และพัฒนากิจกรรมความร่วมมือด้านการศึกษา โดยตกลงที่จะทำงานร่วมกันเพื่อมุ่งสู่ความเป็นสากลของการศึกษาระดับอุดมศึกษาซึ่งตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาและอุตสาหกรรมระหว่างไต้หวันและไทย และส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถในระดับนานาชาติกิจกรรมภายในงานมีมหาวิทยาลัยไต้หวัน 39 แห่ง ที่มาร่วมจัดนิทรรศการเพื่อประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยและหลักสูตรการศึกษาต่อในระดับปริญญา คอร์สเรียนภาษาจีนระยะสั้น หลักสูตร INTENSE Program ทุนการศึกษา (รัฐบาล & มหาวิทยาลัย) ข้อมูลการสอบภาษาจีน TOCFL (ยื่นทุน สมัครเรียนหรือสมัครงาน) กิจกรรมวัฒนธรรมโดยอาจารย์ชาวไต้หวัน การแบ่งปันประสบการณ์การเรียนกับรุ่นพี่นักศึกษาไทยที่กำลังศึกษาและเคยศึกษาที่ไต้หวัน นอกจากนี้ มีบริษัทไต้หวันอีก 11 แห่ง ที่มาให้ข้อมูลและคำปรึกษาการสมัครตำแหน่งงานในไต้หวันให้กับนักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจข่าว / ภาพ : งานประสานงาน (กรุงเทพฯ) กองกลางytjyjr
5 กันยายน 2568
เปิดรับสมัครนักศึกษา #TCAS69 รอบที่ 1.1 ม.แม่โจ้
เปิดรับสมัครนักศึกษา#TCAS69 รอบที่ 1.1 ม.แม่โจ้ สมัครออนไลน์ : 5 – 25 กันยายน 2568www.admissions.mju.ac.th (เปิดระบบ 09:00 น.)คู่มือการสมัคร/การเตรียมเอกสาร:https://admissions.mju.ac.th/ApplyManual.aspxแบบฟอร์มการตรวจร่างกายและใบวัดความรู้เบื้องต้น จะสามารถดาวน์โหลดได้ที่เมนูอัปโหลดเอกสาร หลักสูตร 4 และ 5 ปี รับผู้กำลังศึกษา หรือสำเร็จการศึกษา ระดับ ม.6, ปวช., กศน., GED หรือเทียบเท่า จำนวน 61 สาขาวิชา รับตรง PORTFOLIO :https://admissions.mju.ac.th/FileAnnouncement/193.pdf โควตาครูแนะแนว :https://admissions.mju.ac.th/FileAnnouncement/195.pdf หลักสูตร 4 ปีเทียบเข้าเรียน / ต่อเนื่อง 2 ปี รับผู้กำลังศึกษา หรือสำเร็จการศึกษา ระดับ ปวส., อนุปริญญา หรือเทียบเท่า จำนวน 27 สาขาวิชา รับตรง PORTFOLIO :https://admissions.mju.ac.th/FileAnnouncement/194.pdf โควตาครูแนะแนว :https://admissions.mju.ac.th/FileAnnouncement/196.pdf ขั้นตอนการสมัคร สมัครออนไลน์ : 5 – 25 ก.ย. 2568 ชำระเงินค่าสมัคร : ภายใน 3 วัน อัปโหลดเอกสาร + แฟ้มสะสมผลงาน ภายใน 29 ก.ย. 2568 ไม่มีสอบข้อเขียน/สัมภาษณ์ พิจารณาผลการเรียน + แฟ้มสะสมผลงาน (บางสาขา)ประกาศผล : 15 ต.ค. 2568คู่มือการสมัคร/การเตรียมเอกสาร :https://admissions.mju.ac.th/ApplyManual.aspx อัตราค่าธรรมเนียมการศึกษา (ค่าเทอม):https://admissions.mju.ac.th/FileDownload/68/TuitionFee.pdf ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เพจ:https://www.facebook.com/MJUAdmission 0-5387-3460 หรือ 06-5959-2477 (ในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น.)#รับสมัครนักศึกษาปีการศึกษา2569#TCAS69#Dek69#รับตรง#รอบPortfolio#มหาวิทยาลัยแม่โจ้#MJU#MJU91#เรียนต่อมอแม่โจ้
5 กันยายน 2568
“รมว.อรรถกร” คุมเข้มมาตรการส่งออกลำไย เตรียมพร้อมรับมือสุ่มตรวจจีน พร้อมจับมือ ม.แม่โจ้ วิจัยยกระดับคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นคู่ค้า
   นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาคณะทำงานฯ ร่วมประชุมคณะทำงานติดตามแก้ไขปัญหาการส่งออกสินค้าเกษตรตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ครั้งที่ 1/2568 ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (134) โดยมี นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ นางสาวนฤมล สงวนวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ในฐานะประธานคณะทำงานฯ) ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักการเกษตรต่างประเทศ และสำนักแผนงานและโครงการพิเศษ สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมพิจารณาแนวทางดำเนินงานตามมาตรการส่งออกสินค้าลำไยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมทั้งการยกระดับมาตรการตรวจสอบการตกค้างของสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในลำไยทั้งผล ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมวิชาการเกษตร ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เตรียมศึกษาและวิจัยแนวทางการผลิตและการรักษาคุณภาพลำไยทั้งผลสำหรับการส่งออก เพื่อยกระดับมาตรฐานลำไยไทยและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประเทศคู่ค้าตามมาตรการส่งออก              “สำหรับสถานการณ์การสุ่มตรวจสารตกค้างในลำไยของจีนที่อาจมีการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มมาตรการ กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องมีการติดตามสถานการณ์ และเตรียมความพร้อมอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยการศึกษาและวางแผนแนวทางการในรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งมีการบูรณาการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาคุณภาพลำไยตามมาตรการส่งออกสินค้า เพื่อหาแนวทางการผลิตและรักษาคุณภาพลำไยใหม่ๆ ที่ส่งผลดีต่อเกษตรกร และผู้ประกอบการส่งออกลำไยให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด” นายอรรถกร กล่าว             ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือแนวทางการเจรจาทางการค้ากับทางการจีนในอนาคตเพิ่มเติมอีกด้วยข่าว : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/100187
28 สิงหาคม 2568
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่าง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยคณะบริหารธุรกิจ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่าง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยได้รับเกียรติจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉาย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นประธานในพิธี พร้อมต้อนรับ ดร. ดรุฒ คำวิชิตธนาภา ประธานกรรมการบริหารธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ และคณะผู้บริหาร การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการ การส่งเสริมทักษะวิชาชีพ สนับสนุนการสร้างโอกาส และเวทีในการพัฒนาทั้งความรู้ และประสบการณ์ในการศึกษาให้สามารถต่อยอดและนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งในสถาบันการศึกษาและองค์กร ณ ห้องประชุมสภามหาวิทยาลัย ชั้น 5 สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้
21 สิงหาคม 2568

ข่าวประชาสัมพันธ์

TCAS69 มาใหม่! อว.-ทปอ. เปิดระบบ TCASFolio แฟ้มสะสมผลงานมาตรฐานให้ใช้ฟรี จัดวันสอบสำรองรับเหตุสุดวิสัย พร้อมอุดหนุนค่าสมัครสอบ ลดภาระนักเรียน-ผู้ปกครอง
เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยนายศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และ ศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ผศ.ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา เลขาธิการ ทปอ. รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ ผู้จัดการระบบ TCAS69 และ ผช.ดร.ปาริยา ณ นคร ผู้จัดการระบบจัดสอบ TCAS69 แถลงข่าวระบบคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ปีการศึกษา 2569 TCAS69: Opportunities for All สร้างโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน ที่ห้องประชุมรักตะกนิษฐ มหาวิทยาลัยสวนดุสิตนางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า ทปอ. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการประสานความร่วมมือกับกระทรวง อว. เพื่อพัฒนาระบบ TCAS: Opportunities for All หรือการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับทุกคน ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญในการเปิดโอกาสให้เยาวชนทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม ซึ่งกระทรวง อว. ตระหนักดีว่า การศึกษาไม่ควรถูกจำกัดด้วยภาระทางการเงิน ดังนั้น ในปีการศึกษา 2569 กระทรวงจึงได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายของนักเรียนที่สมัครในระบบ TCAS ครอบคลุม 2 ส่วนสำคัญ คือ ค่าสมัครสอบ TGAT วิชาละ 100 บาท และ TPAT ทุกวิชา รวม TPAT 1 วิชาละ 140 บาท และค่าสมัครคัดเลือกรอบ Admission (รอบที่ 3) ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนเลือกได้สูงสุดถึง 7 อันดับ มาตรการเหล่านี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม และลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาของเยาวชน“ขอชื่นชมการทำงานอย่างใกล้ชิดของ ทปอ. และสถาบันอุดมศึกษาทั้ง 82 แห่ง ที่ร่วมกันพัฒนาระบบ TCAS69 ให้มีความทันสมัย โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียนและสังคมไทยในยุคปัจจุบัน กระทรวง อว. พร้อมให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย สร้างความเสมอภาค และเปิดประตูสู่อนาคตที่สดใสให้แก่เยาวชนทุกคน” รมว.อว. กล่าวด้าน ศ.ดร.วิเลิศ กล่าวว่า ทปอ. ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบ TCAS ให้เป็นกระบวนการคัดเลือกที่โปร่งใส เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และสนับสนุนให้เยาวชนทุกคนได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มศักยภาพ โดยปีนี้มีสถาบันอุดมศึกษาเข้าร่วมกับเรามากถึง 82 สถาบัน โดย 6 ประเด็นสำคัญของ TCAS69 มีดังนี้ 1. กระบวนการคัดเลือกรอบ Portfolio และการใช้ระบบ TCASFolio ในปีการศึกษา 2569 สถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมระบบ TCAS69 ได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันว่า การคัดเลือกรอบ Portfolio จะเน้นที่ "คุณภาพ" ของเนื้อหาและความถูกต้องของข้อมูล ไม่ใช่ "ความสวยงาม" ของรูปเล่ม เราไม่สนับสนุนการจ้างทำแฟ้ม ทั้งนี้ เกณฑ์การให้คะแนนและองค์ประกอบการพิจารณาจะถูกแจ้งให้ผู้สมัครรับทราบผ่านเว็บไซต์ https://www.mytcas.com/ เพื่อให้ทุกคนมีข้อมูลครบถ้วนก่อนตัดสินใจสมัคร และเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ทปอ. ได้พัฒนาระบบ TCASFolio ซึ่งเป็นเครื่องมือสร้างแฟ้มสะสมผลงานมาตรฐาน ที่สามารถใช้งานได้ฟรี เริ่มทดลองใช้ระบบ TCASFolio ได้ตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม 2568 เพียงกรอกข้อมูลกิจกรรม รางวัล และแนบรูปภาพ ระบบจะสร้างเป็นไฟล์ PDF และลิงก์สำหรับส่งให้มหาวิทยาลัยได้ทันที ซึ่งจะช่วยลดภาระและสร้างมาตรฐานเดียวกันประธาน ทปอ. กล่าวต่อว่า 2. เตรียมมาตรการรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ ไว้แล้ว โดยได้กำหนด “วันสอบสำรอง” ล่วงหน้า เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุสุดวิสัย ที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์ในการบริหารความเสี่ยงมาอย่างต่อเนื่อง ขอให้เยาวชนและผู้ปกครองทุกคนมั่นใจว่า เราพร้อมดูแลให้การจัดสอบเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรมที่สุดสำหรับทุกคน 3. กำหนดและประกาศปฏิทินการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา ทั้ง 4 รอบ และปฏิทินการสอบ TGAT/TPAT วันเปิดรับสมัคร วันประกาศผล วันยืนยันสิทธิ์ และวันสละสิทธิ์ของแต่ละรอบ ผู้สมัครสามารถเริ่มลงทะเบียนใช้งานระบบ https://www.mytcas.com/ ได้ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อใช้เป็นช่องทางหลักในการสมัครและติดตามขั้นตอนการคัดเลือก สำหรับการสอบรายวิชาในระบบ TCAS69 กำหนด ได้แก่ วันสอบรายวิชา TGAT/TPAT2-5 วันที่ 13 – 15 ธันวาคม 2568 และวันสอบรายวิชา A-Level วันที่ 14 – 16 มีนาคม 2569ศ.ดร.วิเลิศ กล่าวอีกว่า 4. การจัดสอบ TGAT/TPAT และ A-Level จะเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 30 ตุลาคม – 6 พฤศจิกายน 2568 โดยในปีนี้จัดให้มีข้อสอบทั้งแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยแบบภาษาไทย จัดสอบด้วยกระดาษ (Paper-Based Test: PBT) และแบบภาษาอังกฤษ จัดสอบด้วยคอมพิวเตอร์ (Computer-Based Test: CBT) ซึ่งเปิดทดลองเฉพาะ 2 วิชา ได้แก่ TGAT (ความถนัดทั่วไป) และ TPAT3 (ความถนัดทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์) นอกจากนี้ การสมัครสอบรูปแบบ CBT จะใช้ระบบ “first come, first served” หรือรับตามลาดับการสมัครจนกว่าที่นั่งจะเต็ม ขณะที่การสอบ A-Level ยังคงจัดในรูปแบบกระดาษ (PBT) เช่นเดิม และผู้เข้าสอบสามารถนาข้อสอบกลับบ้านได้หลังจากสอบเสร็จ5. การเผยแพร่ข้อสอบและสถิติ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป เว็บไซต์ https://www.mytcas.com/ และเผยแพร่ข้อสอบ A-Level ปี 2568 พร้อมเฉลย รวมทั้งสถิติการคัดเลือกในระบบ TCAS68 เพื่อให้ผู้สนใจสามารถนาข้อมูลเหล่านี้ไปใช้วางแผนและเตรียมตัวสาหรับการสมัครในระบบ TCAS69 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ 6. อัตราค่าสมัครสอบครับ สำหรับ TCAS69 ในปีนี้ ยังคงใช้อัตราเดิม คือ TGAT/TPAT 140 บาท และ A-Level 100 บาทต่อวิชา ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่ได้ปรับขึ้นมานานกว่า 19 ปี อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนการจัดสอบที่สูงขึ้น ทั้งค่ากระดาษ ระบบรักษาความปลอดภัย และค่าบุคลากร เพื่อรักษามาตรฐานข้อสอบให้มีความเที่ยงตรงและเป็นธรรม ทปอ. จึงมีความจำเป็นต้องปรับอัตราค่าสมัครสอบใหม่ โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2570 เป็นต้นไป ดังนี้ TGAT/TPAT: 159 บาทต่อวิชา A-Level: 119 บาทต่อวิชา“TCAS69 จึงไม่เพียงเป็นระบบคัดเลือกกลาง แต่ยังเป็นก้าวสำคัญของการยกระดับมาตรฐานการศึกษาไทย เพื่อสร้างความเป็นธรรม เสมอภาค และโอกาสที่เปิดกว้างสำหรับเยาวชนทุกคนทั่วประเทศ” ศ.ดร.วิเลิศ กล่าว
18 สิงหาคม 2568
“สุดาวรรณ” รมว.อว. ร่วมประชุมบอร์ดขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้าน AI แห่งชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย ครั้งที่ 2/2568 ดันไทยสู่ยุคปัญญาประดิษฐ์ ยกระดับศักยภาพให้ตอบโจทย์ภาคเศรษฐกิจ-สังคม-ประชาชนอย่างยั่งยืน
มื่อวันที่ 30 ก.ค. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 2/2568 เพื่อพิจารณาทิศทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพของประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธาน และมี ศ.ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) นายปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตลอดจนคณะกรรมการจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาลทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 2 โดยเพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นกรรมการ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการกำหนดนโยบายด้านการศึกษา การพัฒนาทักษะและการเตรียมความพร้อมกำลังคนของประเทศ เพื่อรองรับการประยุกต์ใช้และการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในภาคเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นระบบนอกจากนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนตามกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Program) ให้มีความชัดเจนและเป็นระบบต่อเนื่องจากการประชุมครั้งที่ผ่านมา โดยครอบคลุมทั้งมิติการสร้างความพร้อมด้าน AI (AI Readiness) และการประยุกต์ใช้ AI ในภาคส่วนต่าง ๆ (AI Adoption) และมีข้อสรุปสำคัญ 4 ประเด็น ดังนี้ 1.) เห็นชอบการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในลักษณะของกลุ่มภาคีเครือข่าย (Consortium) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือดังกล่าว 2.) เห็นชอบแนวทางการยกระดับการทำงานให้เชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ AI โดยจัดตั้ง ศูนย์รวมความเชี่ยวชาญ (Center of Excellence:CoEs) ในสาขาต่าง ๆ เพื่อเร่งรัดการพัฒนาและบูรณาการการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เบื้องต้นจำนวน 9 แห่ง ได้แก่ ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการศึกษา ศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการเกษตร ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการท่องเที่ยว ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อสุขภาพและสุขภาวะ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการผลิต กลุ่มภาคีเครือข่ายด้านโมเดลภาษาขนาดใหญ่ภาษาไทย ศูนย์การประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ภาครัฐ และศูนย์สอบเทียบสมรรถนะและทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติให้รับหลักการในการตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านความมั่นคงและความปลอดภัย (Safety and Security) เพิ่มอีกหนึ่งแห่ง 3.) มอบหมายให้ศูนย์ความเชี่ยวชาญดำเนินการจัดทำแผนย่อยรายสาขา ครอบคลุมทั้งด้านความพร้อมและผู้ใช้งาน AI ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามกรอบที่วางไว้ 4.) เห็นชอบในหลักการของกรอบการใช้จ่ายงบประมาณการขับเคลื่อนตามกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2570 และ รับทราบงบประมาณของภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ทั้งงบประมาณในแผนและนอกแผน รวมถึงเงินจากกองทุนของรัฐที่ได้ลงทุนไปแล้ว ซึ่งมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาทอย่างไรก็ตามที่ประชุมได้เน้นย้ำการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การยกระดับโครงสร้างและการประยุกต์ใช้ AI ผ่านศูนย์รวมความเชี่ยวชาญ การจัดทำแผนย่อยรายสาขาเพื่อให้ดำเนินงานได้ตามกรอบที่กำหนด และการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ของประเทศอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
31 กรกฎาคม 2568
น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้แถลงนโยบายการขับเคลื่อนกระทรวง อว. โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.(โยธี)
น.ส.สุดาวรรณ กล่าวว่า การเข้าทำงานในฐานะ รมว.อว. ตนตั้งใจที่จะทำให้งานอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อทำให้ประเทศไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลางและเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่และมีมูลค่าสูง ซึ่งต้องอาศัยกำลังคนทักษะสูง การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างผู้ประกอบการหรือ Tech Start-up ให้กับประเทศ ซึ่งแน่นอน กระทรวง อว. มีบทบาทสำคัญมากในเรื่องนี้ อีกทั้งตนเคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรม ดูแลงานท่องเที่ยวและโครงการ Soft Power ที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาลมาก่อน จึงทราบดีว่าการที่จะขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ ต้องอาศัยมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยต่างๆ เข้ามาช่วยสนับสนุนทั้งด้านการเตรียมคน การพัฒนาทักษะกำลังคน และการใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีใหม่ๆรมว.อว. กล่าวต่อว่า นโยบายการทำงานของกระทรวง อว.จะแบ่งเป็น 2 ด้าน ด้านแรก คือ การพัฒนากำลังคน เน้นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางการเข้าถึงอุดมศึกษาของคนในประเทศ พร้อมกับเรื่องการพัฒนากำลังคนของประเทศเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในปัจจุบันและอนาคต ได้แก่ 1.ส่งเสริมทุนเพื่อการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เช่น การอุดหนุนค่าสมัครการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา(TCAS) เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยจะสนับสนุนเงินอุดหนุนค่าสมัครสอบในการสอบวัดความถนัดทั่วไป TGAT ในอัตรา 140 บาทต่อคน ค่าสมัครสอบรอบที่ 3 แอดมิชชั่นในระบบ TCAS โดยผู้สมัครสามารถเลือกสมัครได้สูงสุด 7 อันดับฟรี ในอัตรา 600 บาทต่อคน และใน TCAS ปีนี้จะสนับสนุนค่าสมัครสอบวัดความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ TPAT1-5 เพิ่มเติม (TPAT 1 สอบ กสพท. อัตรา 800 บาทต่อคน และ TPAT 2-5 อัตรา 140 บาทต่อคน) ซึ่งคาดว่าจะมีนักเรียนและผู้ปกครองได้รับประโยชน์กว่า 733,750 คน และการสนับสนุนทุนเพื่อนักศึกษาพิการ ทุนเพื่อเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ทุน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และทุนอื่นๆ อีกจำนวน 7,900 ทุน แบ่งเป็นทุนคนพิการ 2,000 ทุน ทุนเพื่อเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล 3,173 ทุน ทุนสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 355 ทุน ทุนสำหรับนักศึกษาเรียนดีแต่ยากจน 80 ทุน สนับสนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศ (จังหวัดชายแดนภาคใต้) 2,324 ทุน และจะให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.ทุนเพื่อให้โอกาสเรียนปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก สำหรับเด็กเรียนดี จำนวน 2,800 ทุน ซึ่งจะมีทั้งทุนด้านวิทยาศาสตร์ และทุนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ฯ โดยเน้นการส่งเสริมกำลังคนตามความต้องการของประเทศ และปรับเงื่อนไขการรับทุนการชดใช้ทุนเพื่อให้ผู้รับทุนสามารถสร้างประโยชน์ในภาคเอกชนนอกเหนือจากภาครัฐอย่างเดียว และ 3. ทุนเพื่อพัฒนากำลังคนเฉพาะทางในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศอย่างเร่งด่วน เช่น ด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ด้าน AI ด้าน EV รวมถึง Soft Power หลายด้าน เช่น ด้านอาหาร ด้านท่องเที่ยว และด้านกีฬา เป็นต้น น.ส.สุดาวรรณ กล่าวอีกว่า ขณะที่ด้านที่สองคือการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ซึ่งกระทรวง อว. มีกองทุนส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม ที่ได้รับงบประมาณ 19,828 ล้านบาท ตนอยากเห็นว่า การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกิดผลกระทบ (Impact) จริงต่อทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคม จึงมีนโยบาย ดังนี้ 1.ขอให้เน้นประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน การจัดสรรทุน การจัดสรรงบประมาณไปยังหน่วยให้ทุนหรือ PMU และจาก PMU ไปยังมหาวิทยาลัยและนักวิจัย ต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมในทุกมิติทั้งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ ธุรกิจชุมชน SMEs อุตสาหกรรมสมัยใหม่ รวมถึงการทำวิจัยที่ส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้สมัยใหม่ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง 2.การนำ ววน. ไปช่วยสนับสนุนภาคเกษตร ให้สามารถแข่งขันได้ โดยต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ด้าน ววน. ไปช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ยกระดับคุณภาพผลผลิต การนำเทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัย สามารถควบคุมปัจจัยการผลิตต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เช่น การทำเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา เป็นต้น 3. นำ ววน. ไปช่วยเรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น PM 2.5 น้ำท่วม ภัยแล้ง เป็นต้น เพื่อพัฒนาและเร่งแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติ ในหลายๆ ด้าน และ 4. ส่งเสริมการวิจัยในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ส่งเสริมการสร้างอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของประเทศ ทั้งจากการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการสร้าง Deep tech start-up ในประเทศ เช่น ด้านยานยนต์สมัยใหม่ อาหารแห่งอนาคต เศรษฐกิจอวกาศ (Space economy) AI เซมิคอนดักเตอร์ และ อิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง“ที่สำคัญ ดิฉันและทั้งองคาพยพของกระทรวง อว.จะร่วมกันสร้าง “1 มหาวิทยาลัย 1 ภารกิจ เพื่อท้องถิ่น” เป็นการดึงศักยภาพทั้งกำลังของคนและวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของกระทรวง อว. มาสร้างการพัฒนาในระดับพื้นที่ เพราะปัจจุบันเรามี “อว. ส่วนหน้า” ประจำจังหวัดต่างๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่อยู่แล้ว และหลังจากนี้แต่ละหน่วยงาน ทั้งสถาบันอุดมศึกษา สถาบันวิจัย จะเข้าไปดูว่าในแต่ละพื้นที่ที่ตนดูแลหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง มีปัญหาอะไรที่ควรจะเข้าไปดูแลจัดการ โดยใช้การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เข้าไปช่วยในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น ปัญหาผลผลิตเกษตรตกต่ำ ปัญหาสภาพดิน ปัญหาโรคพืช ปัญหาแปรรูปสินค้า ปัญหา PM 2.5. ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง คุณภาพน้ำ ปัญหาขยะ เป็นต้น” น.ส.สุดาวรรณ กล่าว
14 กรกฎาคม 2568
“ศุภมาส” ชงแผนรับมือ “นโยบายทรัมป์” เร่งช่วยนักเรียนทุนทั้ง FAFSA หรือ Fulbright และทุนอื่นๆ จัดหาทุนสำรอง ดูแลเรื่องวีซ่า โอกาสการทำงานในไทยหรือประเทศทางเลือก คลอด 3 มาตรการพลิกวิกฤตสู่โอกาส หาพันธมิตรประเทศทางเลือกที่มีนโยบายเปิดกว้าง เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน ออสเตรเลียพร้อมผลักดันไทยสู่ "Education Hub
          เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.68 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2568 มีมติรับทราบมาตรการรับมือผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ที่มีต่อระบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ของไทย เช่น นโยบาย “America First Foreign Aid”, การยกเลิกการสนับสนุนความหลากหลาย (DEI), และการปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มข้นขึ้น (Extreme Vetting) มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อความร่วมมือด้านการศึกษาและทุนวิจัยระหว่างไทยและสหรัฐฯ รวมถึงโอกาสของนักศึกษาและนักวิจัยไทยในสหรัฐอเมริกา           รมว.กระทรวง อว. กล่าวต่อว่า ที่ประชุมฯ ได้เน้นย้ำให้เปลี่ยนความท้าทายเป็นโอกาสในการสร้างความเข้มแข็งและยกระดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ ซึ่ง กระทรวง อว.ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าว จึงได้เตรียมแผนรับมือ 3 ระยะ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างเป็นระบบและทันท่วงที โดยได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่อระบบ อววน. ของประเทศไทย ประกอบด้วยแผนปฏิบัติการ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น (ภายใน 1 ปี): ตั้งรับเชิงรุก ช่วยเหลือนักศึกษาไทย ในระยะเร่งด่วน กระทรวง อว.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งสำรวจจำนวนนักเรียนนักศึกษาไทยที่พึ่งพาทุนรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น FAFSA หรือ Fulbright เพื่อเตรียมมาตรการช่วยเหลือเบื้องต้นผ่านสถานเอกอัครราชทูตไทยในสหรัฐฯ พร้อมทั้งจัดทำบัญชีโครงการวิจัยที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อจัดหาทุนสำรองและกระจายความเสี่ยงโดยขยายความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงการมอบหมายหน่วยงานทำหน้าที่ให้คำแนะนำเรื่องวีซ่าและโอกาสการทำงานในไทยหรือประเทศทางเลือก         ส่วนระยะกลาง (1-3 ปี): ปรับกลยุทธ์ สร้างพันธมิตรใหม่ ประเทศไทยจะใช้การทูตผลักดันโครงการที่สอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ เพื่อรักษาความร่วมมือ พร้อมกันนี้จะจัดทำข้อมูลแนะแนวการศึกษาต่อในประเทศทางเลือกที่มีนโยบายเปิดกว้าง เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา จีน และออสเตรเลีย นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาหลักสูตรในไทยให้มีคุณภาพสูงเพื่อรองรับนักศึกษาไทยและต่างชาติ พร้อมออกมาตรการดึงดูดบุคลากรทักษะสูงทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับสู่ประเทศ และระยะยาว (มากกว่า 3 ปี): พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ผลักดันไทยสู่ "Education Hub"  โดยมุ่งเน้นการยกระดับมหาวิทยาลัยไทยและพัฒนาหลักสูตรนานาชาติ (International Programs) ในสาขาอนาคตที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะสร้างความร่วมมือกับอาเซียนและสหภาพยุโรปเพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการศึกษาและการวิจัย (Education Hub) ของภูมิภาค  และวางแผนพัฒนาภาคเอกชนไทยให้สามารถเข้าสู่ห่วงโซ่มูลค่าโลก (Global Value Chain)       “กระทรวง อว. มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อนักศึกษาและนักวิจัยของไทยที่อาจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านสถานะวีซ่า การสนับสนุนทางการเงินและวิชาการ โดยขอให้มั่นใจว่ากระทรวง อว. ได้เตรียมมาตรการรองรับเพื่อดูแลทุกท่านอย่างดีที่สุด เพราะทุกท่านคือบุคลากรคุณภาพที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ” น.ส.ศุภมาส กล่าว
19 มิถุนายน 2568
ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัยร่วมภายใต้ความร่วมมือด้านอุดมศึกษาและการวิจัยระหว่างไทย - ฝรั่งเศส (Franco -Thai Mobility Programme/ PHC SIAM) ประจำปี พ.ศ. 2569 - 2570
ประกาศเปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัยร่วมภายใต้ความร่วมมือด้านอุดมศึกษาและการวิจัยระหว่างไทย - ฝรั่งเศส (Franco -Thai Mobility Programme/ PHC SIAM) ประจำปี พ.ศ. 2569 - 2570        สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ร่วมกับรัฐบาลฝรั่งเศส เปิดรับข้อเสนอโครงการวิจัยร่วมภายใต้ความร่วมมือด้านอุดมศึกษาและการวิจัยระหว่างไทย-ฝรั่งเศส (Franco-Thai Cooperation Programme in Higher Education and Research/Franco-Thai Mobility Programme/ PHC SIAM) ประจำปี พ.ศ. 2569 - 2570 โดยผู้สนใจสามารถจัดทำข้อเสนอโครงการและเอกสารประกอบการสมัครจำนวน 8 ชุด (ต้นฉบับ 1 ชุด และสำเนา 7 ชุด) พร้อมหนังสือนำจากสถาบันอุดมศึกษาต้นสังกัดหรือสถาบัน/หน่วยงานวิจัยภายใต้ อว. ต้นสังกัดส่งไปยัง สป.อว. ภายในพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม 2568       ศึกษารายละเอียดและดาวน์โหลดใบสมัครและเอกสารประกอบการสมัครได้ที่ https://mhesi.e-office.cloud/d/76b4fbb3 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ผู้ประสานงานโครงการของ สป.อว. (นางสาววรรณี กล่อมละเอียด) โทร. 0 2610 5423 ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ wannee.k@mhesi.go.th
26 พฤษภาคม 2568
“ศุภมาส” เอาจริงแก้ปัญหานักศึกษาต่างชาติหนีมาทำงานในไทย ออกประกาศคุมเข้ม “หลักสูตรระยะสั้น (Non-degree) นักศึกษาต่างชาติ” ทุกสถาบันที่เปิดสอนต้องส่งหลักสูตร บันทึกการเข้าเรียน จำนวนนักศึกษามาให้กระทรวง อว.ตรวจสอบ ให้เรียนแบบออนไซต์ไม่น้อยกว่า 60% ออนไลน์ไม่เกิน 40% เวลาเรียนไม่เกิน 180 วัน มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 14 พ.ค.68
เมื่อวันที่ 15 พ.ค.68 น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า กระทรวง อว. ได้ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรระยะสั้น (Non-degree) สำหรับนักศึกษาต่างชาติของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2568 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการขออนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติพำนักอยูในประเทศไทยเป็นไปตามกฎหมายและข้อตกลงร่วมกันระหว่างกระทรวง อว. และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) โดยในประกาศฉบับนี้ได้กำหนดให้สถาบันอุดมศึกษาดำเนินการอย่างรัดกุม ครอบคลุมทั้งด้านคุณภาพหลักสูตร การบริหารจัดการนักศึกษาต่างชาติ และการรายงานผลการดำเนินงานต่อกระทรวงอย่างต่อเนื่องรมว.กระทรวง อว.กล่าวต่อว่า สาระสำคัญของประกาศฯ คือ 1.สถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรระยะสั้นต้องมีความเชี่ยวชาญ มีความพร้อมทั้งในด้านเนื้อหา ผู้สอน และผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) ที่ชัดเจน เพื่อรักษามาตรฐานของการศึกษาไทย 2.สถาบันต้องจัดส่งข้อมูลหลักสูตรให้สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ทราบ อาทิ ชื่อหลักสูตร หน่วยงานและอาจารย์ผู้รับผิดชอบ วัตถุประสงค์ โครงสร้างและเนื้อหา รูปแบบการเรียนการสอน โดยต้องเรียนแบบออนไซต์ไม่น้อยกว่า 60% ออนไลน์ไม่เกิน 40% ของเนื้อหาวิชาและระยะเวลาของหลักสูตร ระยะเวลาของหลักสูตรไม่เกิน 180 วัน ตารางการเรียนการสอนรายวันและรายสัปดาห์ บันทึกการเข้าเรียน คุณสมบัติของนักศึกษา ระยะเวลาการรับสมัคร จำนวนนักศึกษาต่างชาติที่เปิดรับ รวมถึงภาษาที่ใช้ สถานที่เรียน และวิธีการประเมินผล 3.สถาบันต้องดำเนินการออกหนังสือรับรองและขอให้นักศึกษาต่างชาติพำนักอยู่ในประเทศไทยเพื่อการศึกษาในประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ตามความเหมาะสมและความจำเป็นของหลักสูตร โดยต้องไม่เกินครั้งละ 180 วัน และควรมีการตรวจสอบผลการศึกษา กรณีนักศึกษาต่างชาติเคยเข้าศึกษาในหลักสูตรอื่นๆ ของสถาบันอุดมศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งมาก่อน 4.เมื่อ สตม.อนุญาตให้พำนักในราชอาณาจักรเพื่อศึกษาหลักสูตรดังกล่าว สถาบันต้องรายงานข้อมูลนักศึกษาต่างชาติให้สำนักงานปลัดกระทรวง อว. ทราบภายใน 30 วัน 5.สถาบันต้องกำหนดแนวปฏิบัติในการตรวจสอบการเข้าเรียนของนักศึกษาต่างชาติ และต้องจัดส่งรายงานความก้าวหน้าในการศึกษาของนักศึกษาในหลักสูตรดังกล่าวเป็นประจำทุกเดือนผ่านระบบฐานข้อมูลติดตามนักศึกษาต่างชาติของสำนักงานปลัดกระทรวง อว. โดยต้องระบุรายชื่อนักศึกษาที่กำลังศึกษา พ้นสภาพ และสำเร็จการศึกษาอย่างครบถ้วนและ 6. หากพบว่าสถาบันใดดำเนินการไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ สำนักงานปลัดกระทรวง อว. จะแจ้งให้สภาสถาบันพิจารณายกเลิกการเปิดหลักสูตรดังกล่าว“หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติใหม่นี้นอกจากจะทำให้การพำนักและศึกษาในประเทศไทยของนักศึกษาต่างชาติเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังจะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นในระบบการศึกษาระยะสั้นของไทย เป็นที่ยอมรับระดับสากลและสนับสนุนให้นักศึกษาต่างชาติเข้ามาศึกษาในประเทศมากยิ่งขึ้น ภายใต้ระบบที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ“ น.ส.ศุภมาส กล่าว
19 พฤษภาคม 2568
  e-passport / หนังสือเดินทาง
  การขอหนังสืออำนวยความสะดวกเพื่อไปขอการรับตรวจลงตรา
  หนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ
  ประเทศที่มีข้อตกลงกับประเทศไทยยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่า    สถานที่ให้บริการหนังสือเดินทาง 
  ประเทศ / ดินแดน ที่คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า   ตัวอย่างคำแปลแบบฟอร์มเอกสารราชการ
ประเทศที่ต้องยืนขอวีซ่าด้วยตนเองสำหรับเล่มราชการ   คู่มือสำหรับประชาชน: งานหนังสือเดินทางอิเล็กทรอนิกส์
    ในประเทศไทย
  ขอรับการตรวจลงตรา   ของต้องห้าม/ต้องจำกัดในการนำเข้าประเทศไทย  
 แนะนำ ขั้นตอนการทำพาสปอร์ตสำหรับเด็กและเอกสารที่ต้องเตรียม     ประเภทของหนังสือเดินทางไทย 
การขอหนังสือนำจากกระทรวงการต่างประเทศ    ขั้นตอนง่ายๆ ในการขอรับรองนิติกรณ์เอกสาร ที่กรมการกงสุล 
กรมการกงสุลเรื่อง ยกเลิกใช้บัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน   ทำอย่างไร? เมื่อ 'พาสปอร์ตหายในต่างประเทศ 
 หนังสือเดินทางหายในกัมพูชา ต้องทำอย่างไร? 

   หนังสือเดินทางไม่ใช่ของเล่น 


การขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ เพลิงศพ หีบเพลิง และดินฝังศพ อื่นๆ
  การขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
  ขั้นตอนการขอพระราชทานเพลิง
  การขอรับหีบเพลิงพระราชทาน   ขั้นตอนการขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
  การขอพระราชทานเพลิงศพ   ความหมายของคำ
  การขอพระราชทานเพลิงศพ และดินฝังศพ เป็นกรณีพิเศษ   ตัวอย่างหนังสือขอพระราชทานเพลิงศพ เป็นกรณีพิเศษ 
  ข้อปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ได้รับพระราชทานน้ำหลวงและเครื่องประกอบเกียรติยศ
  ข่าวประชาสัมพันธ์
   โรงแรม / ที่พัก   เรื่องดีดี..ที่อยากจะบอก  
   อัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน    KM งานประสานงาน 
   ราคาน้ำมันวันนี้  
  ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
    (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒