งานประสานงาน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กรุงเทพมหานคร
Maejo University Coordinating Office , Bangkok Thailand

?? แม้ทั่วโลกจะประกาศเจตนารมณ์ของการไปสู่เป้าหมาย “Net Zero” แต่ในปี 2024 ตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกยังคงเพิ่มสวนทางกับหมุดหมายที่วางไว้

?? ตั้งแต่ในปี 2015 ที่หลายประเทศทั่วโลกร่วมลงนามใน “ความตกลงปารีส (Paris Agreement)” มาจวบจนปัจจุบันเป็นเวลาถึง 10 ปีที่ภาพรวมยังคงมีความท้าทายอยู่อีกมากมาย โดยเฉพาะตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ยังคงเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 4.16 หมื่นล้านตัน ซึ่งเกิดจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นกว่าปี 2023 ถึง 0.8% และการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์จากที่ดินที่ทำให้พื้นที่ป่าลดลง

?? การเพิ่มขึ้นของปริมาณคาร์บอนในชั้นบรรยากาศส่งผลกระทบที่ชัดเจนมากขึ้นจน UNEP มีการเตือนผ่านรายงาน Emissions Gap 2024: “No more hot air please!” ว่าหากยังไม่มีมาตรการการดำเนินงานที่เข้มงวดอย่างจริงจัง อุณหภูมิโลกอาจเพิ่มขึ้น 2.6 - 3.1 °C ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะนำไปสู่ผลกระทบทางธรรมชาติที่รุนแรงต่อทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจจนไม่อาจหวนคืนกลับสู่ภาวะปกติได้

? ตอนนี้แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจดูสิ้นไร้หนทาง แต่โลกยังสามารถรับมือกับความท้าทายนี้โดยมีทางออกที่สำคัญคือ การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรยั่งยืน เทคโนโลยีการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) และการเพิ่มพื้นที่ป่า เป็นต้น ที่จะมีส่วนช่วยในการดูดซับปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในการสนับสนุนธุรกิจเหล่านี้สิ่งสำคัญมากที่สุดคือการเพิ่มการลงทุนจากหน่วยงานต่างๆ ให้มากกว่าเดิม

?? เพราะตามรายงานของ BloombergNEF ระบุไว้ว่า ในปีที่ผ่านมาทั่วโลกมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งพลังงานเพียง 37% ของสัดส่วนจำเป็นเท่านั้น ในขณะที่ปัจจุบันทั่วโลกต้องเพิ่มการลงทุนเงินไปให้ถึง 5.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ปี 2025 - 2030 จึงจะเพียงพอต่อการพัฒนา อีกทั้งประเทศต่างๆ ต้องสร้างการร่วมมือระหว่างประเทศในการปฏิรูประบบการเงินระดับโลก มองหามาตรการที่สามารถเพิ่มผลประโยชน์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

สำหรับประเทศไทยเองได้มีการตั้งเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามแนวทางจากการประชุม COP26 ที่จัดขึ้นเมื่อปี 2021 โดยประกาศว่า ประเทศไทยจะเป็น ‘กลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)’ ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065

?? ดังนั้นการจะไปถึงเป้าหมายทั่วโลกยังต้องการพึ่งพาธุรกิจที่ดำเนินงานเกี่ยวกับ “เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน หรือ GreenTech” ที่จะครอบคลุมถึงเทคโนโลยีสะอาด (CleanTech) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Tech) เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับภาคธุรกิจเหล่านั้น NIA จึงมี โครงการ "Climate Tech Acceleration Program" ที่มีเป้าหมายในการสร้างโอกาสทางการตลาด มุ่งขยายศักยภาพผ่านกิจกรรมการให้คำปรึกษา สร้างเครือข่ายขยายการลงทุนให้กับสตาร์ทอัพที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero 

??‍?? จากที่ได้เริ่มต้นโปรแกรมนี้ในปี 2024 ถึงเวลาแล้วที่จะสานต่อและเดินหน้าการสนับสนุนอีกครั้ง ซึ่งจากปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดรับธุรกิจที่มีผลงานพร้อมขยายออกสู่ตลาดใน 4 กลุ่มธุรกิจด้วยกัน ได้แก่ Clean Energy, Energy Conservation, Data Analytics และ Waste Utilization ซึ่ง ClimateTech Acceleration Program 2025 นี้ ได้มีการเพิ่มธุรกิจด้าน Sustainable Logistic หรือระบบโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามา เพื่อจะครอบคลุมการแก้ปัญหาอย่างรอบด้านยิ่งขึ้น

?? ในท้ายที่สุด การบรรลุเป้าหมาย Net Zero จึงไม่ใช่การอาศัยผลงานของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของความร่วมมือในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล นักลงทุน หรือภาคธุรกิจ ที่จะมาร่วมมือเร่งผลักดันการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างจริงจัง เพื่อหาโอกาสที่โลกจะรอดพ้นจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ไปสู่อนาคตด้านพลังงานที่ยั่งยืนได้สำเร็จ

?? สำหรับสตาร์ทอัพที่สนใจเข้าร่วม Climate Tech Acceleration Program 2025 นี้ สามารถรอติดตามข่าวการเปิดรับสมัครโครงการผ่านทางเพจของ NIA ได้เลย

อ้างอิงข้อมูลจาก:
https://ccf.tgo.or.th/wp-content/uploads/2024/10/Final_คู่มือการดำเนินงานสู่เป้าหมาย-Net-Zero.pdf
https://policywatch.thaipbs.or.th/article/environment-97
https://www.unep.org/resources/emissions-gap-report-2024
https://www.infoquest.co.th/2025/465960
https://esguniverse.com/content/greenhouse-gas-emissions-differences-in-2024/
https://www.nia.or.th/event/climate-acceleration-program-2024

ปรับปรุงข้อมูล : 8/4/2568 13:46:17     ที่มา : งานประสานงาน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กรุงเทพมหานคร     จำนวนผู้เปิดอ่าน : 77

กลุ่มข่าวสาร : ข่าวประชาสัมพันธ์

ข่าวล่าสุด

มหาวิทยาลัยแม่โจ้บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคลเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568
วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม 2568 รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ นำคณะผู้บริหาร สมาคมศิษย์เก่า นักศึกษา เข้าร่วมบันทึกเทปโทรทัศน์ถวายพระพร เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 สิงหาคม 2568 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) เชียงใหม่
24 กรกฎาคม 2568     |      8
พิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่าง มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (คณะบริหารธุรกิจ) กับ บริษัท ไฮไลฟ์ โกลบอล ฟู้ดส์ จำกัด
วันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2568 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยคณะบริหารธุรกิจ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ กับ บริษัท ไฮไลฟ์ โกลบอล ฟู้ดส์ จำกัด ณ ห้องประชุมรวงผึ้ง สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นประธานในพิธี พร้อมต้อนรับ ดร.บัณฑิต จำรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฮไลฟ์ โกลบอล ฟู้ดส์ จำกัด และคณะผู้บริหารที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้การลงนามบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือทางวิชาการ สนับสนุนและส่งเสริมด้านการจัดการสหกิจศึกษา และการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทำงาน เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้พัฒนาความรู้และทักษะจากประสบการณ์จริงภายใต้การดูแลและถ่ายทอดความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในสถานประกอบการอย่างเป็นระบบ
24 กรกฎาคม 2568     |      6
พิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการนำผลงานทางวิชาการและผลงานการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ ระหว่าง สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา กับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้
วันพุธที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่ห้องประชุม B1 -1 ชั้น B1 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) กรุงเทพฯ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการนำผลงานทางวิชาการ และผลงานการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ ระหว่างสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา มหาวิทยาลัยแม่โจ้สำหรับพิธีลงนามดังกล่าว เป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการนำผลงานทางวิชาการและผลงานการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการนิติบัญญัติ ระหว่างสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา กับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยนางปัณณิตา สท้านไตรภพ เลขาธิการวุฒิสภา และรองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ลงนามในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ และมีนายพีระพจน์ รัตนมาลี รองเลขาธิการวุฒิสภา และรองศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีเงินยวง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ลงนามเป็นพยานทั้งนี้วุฒิสภาเป็นองค์กรนิติบัญญัติที่มุ่งปฏิบัติหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน มีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณากลั่นกรองกฎหมาย การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และการให้คำแนะนำหรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่ง การที่วุฒิสภาจะได้รับการสนับสนุนผลงานวิชาการและผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศที่มีผลงานวิชาการและผลงานวิจัย รวมทั้งนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ปรากฎในระดับประเทศ และระดับนานาชาติจะช่วยให้การพิจารณาตัดสินใจในภารกิจด้านต่าง ๆ ของวุฒิสภา และคณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความละเอียด รอบคอบ และอยู่บนพื้นฐานของหลักคิดทางวิชาการมากยิ่งขึ้น การจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการในวันนี้ จึงถือเป็นทั้งโอกาสและนิมิตหมายที่ดีของความร่วมมือในการเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานเพื่อทำให้เกิดการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ และการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย ผลงานทางวิชาการ และนวัตกรรมร่วมกัน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและพัฒนาการของการประสานประโยชน์ระหว่างทั้งสามหน่วยงาน เพื่อรองรับการดำเนินงานในกระบวนการนิติบัญญัติ และเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน สังคม และประเทศชาติโดยรวม
18 กรกฎาคม 2568     |      34
น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้แถลงนโยบายการขับเคลื่อนกระทรวง อว. โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และผู้บริหารกระทรวง อว. เข้าร่วม ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวง อว.(โยธี)
น.ส.สุดาวรรณ กล่าวว่า การเข้าทำงานในฐานะ รมว.อว. ตนตั้งใจที่จะทำให้งานอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม เป็นกลไกสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อทำให้ประเทศไทยออกจากกับดักรายได้ปานกลางและเปลี่ยนโครงสร้างอุตสาหกรรมของประเทศไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่และมีมูลค่าสูง ซึ่งต้องอาศัยกำลังคนทักษะสูง การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ การสร้างผู้ประกอบการหรือ Tech Start-up ให้กับประเทศ ซึ่งแน่นอน กระทรวง อว. มีบทบาทสำคัญมากในเรื่องนี้ อีกทั้งตนเคยดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรม ดูแลงานท่องเที่ยวและโครงการ Soft Power ที่เป็นนโยบายหลักของรัฐบาลมาก่อน จึงทราบดีว่าการที่จะขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ ต้องอาศัยมหาวิทยาลัยและหน่วยงานวิจัยต่างๆ เข้ามาช่วยสนับสนุนทั้งด้านการเตรียมคน การพัฒนาทักษะกำลังคน และการใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยีใหม่ๆรมว.อว. กล่าวต่อว่า นโยบายการทำงานของกระทรวง อว.จะแบ่งเป็น 2 ด้าน ด้านแรก คือ การพัฒนากำลังคน เน้นเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำทางการเข้าถึงอุดมศึกษาของคนในประเทศ พร้อมกับเรื่องการพัฒนากำลังคนของประเทศเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในปัจจุบันและอนาคต ได้แก่ 1.ส่งเสริมทุนเพื่อการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา เช่น การอุดหนุนค่าสมัครการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา(TCAS) เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา โดยจะสนับสนุนเงินอุดหนุนค่าสมัครสอบในการสอบวัดความถนัดทั่วไป TGAT ในอัตรา 140 บาทต่อคน ค่าสมัครสอบรอบที่ 3 แอดมิชชั่นในระบบ TCAS โดยผู้สมัครสามารถเลือกสมัครได้สูงสุด 7 อันดับฟรี ในอัตรา 600 บาทต่อคน และใน TCAS ปีนี้จะสนับสนุนค่าสมัครสอบวัดความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ TPAT1-5 เพิ่มเติม (TPAT 1 สอบ กสพท. อัตรา 800 บาทต่อคน และ TPAT 2-5 อัตรา 140 บาทต่อคน) ซึ่งคาดว่าจะมีนักเรียนและผู้ปกครองได้รับประโยชน์กว่า 733,750 คน และการสนับสนุนทุนเพื่อนักศึกษาพิการ ทุนเพื่อเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ทุน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และทุนอื่นๆ อีกจำนวน 7,900 ทุน แบ่งเป็นทุนคนพิการ 2,000 ทุน ทุนเพื่อเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล 3,173 ทุน ทุนสานฝันการกีฬาสู่ระบบการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 355 ทุน ทุนสำหรับนักศึกษาเรียนดีแต่ยากจน 80 ทุน สนับสนุนทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในประเทศ (จังหวัดชายแดนภาคใต้) 2,324 ทุน และจะให้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.ทุนเพื่อให้โอกาสเรียนปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก สำหรับเด็กเรียนดี จำนวน 2,800 ทุน ซึ่งจะมีทั้งทุนด้านวิทยาศาสตร์ และทุนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ฯ โดยเน้นการส่งเสริมกำลังคนตามความต้องการของประเทศ และปรับเงื่อนไขการรับทุนการชดใช้ทุนเพื่อให้ผู้รับทุนสามารถสร้างประโยชน์ในภาคเอกชนนอกเหนือจากภาครัฐอย่างเดียว และ 3. ทุนเพื่อพัฒนากำลังคนเฉพาะทางในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศอย่างเร่งด่วน เช่น ด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ด้าน AI ด้าน EV รวมถึง Soft Power หลายด้าน เช่น ด้านอาหาร ด้านท่องเที่ยว และด้านกีฬา เป็นต้น น.ส.สุดาวรรณ กล่าวอีกว่า ขณะที่ด้านที่สองคือการพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ซึ่งกระทรวง อว. มีกองทุนส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรม ที่ได้รับงบประมาณ 19,828 ล้านบาท ตนอยากเห็นว่า การวิจัย การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกิดผลกระทบ (Impact) จริงต่อทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคม จึงมีนโยบาย ดังนี้ 1.ขอให้เน้นประสิทธิภาพในการบริหารกองทุน การจัดสรรทุน การจัดสรรงบประมาณไปยังหน่วยให้ทุนหรือ PMU และจาก PMU ไปยังมหาวิทยาลัยและนักวิจัย ต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมในทุกมิติทั้งในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ ธุรกิจชุมชน SMEs อุตสาหกรรมสมัยใหม่ รวมถึงการทำวิจัยที่ส่งเสริมการสร้างองค์ความรู้สมัยใหม่ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขั้นสูง 2.การนำ ววน. ไปช่วยสนับสนุนภาคเกษตร ให้สามารถแข่งขันได้ โดยต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีองค์ความรู้ด้าน ววน. ไปช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ยกระดับคุณภาพผลผลิต การนำเทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัย สามารถควบคุมปัจจัยการผลิตต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เช่น การทำเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) โดยเฉพาะในพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา เป็นต้น 3. นำ ววน. ไปช่วยเรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เช่น PM 2.5 น้ำท่วม ภัยแล้ง เป็นต้น เพื่อพัฒนาและเร่งแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติ ในหลายๆ ด้าน และ 4. ส่งเสริมการวิจัยในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ส่งเสริมการสร้างอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของประเทศ ทั้งจากการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และการสร้าง Deep tech start-up ในประเทศ เช่น ด้านยานยนต์สมัยใหม่ อาหารแห่งอนาคต เศรษฐกิจอวกาศ (Space economy) AI เซมิคอนดักเตอร์ และ อิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูง“ที่สำคัญ ดิฉันและทั้งองคาพยพของกระทรวง อว.จะร่วมกันสร้าง “1 มหาวิทยาลัย 1 ภารกิจ เพื่อท้องถิ่น” เป็นการดึงศักยภาพทั้งกำลังของคนและวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมของกระทรวง อว. มาสร้างการพัฒนาในระดับพื้นที่ เพราะปัจจุบันเรามี “อว. ส่วนหน้า” ประจำจังหวัดต่างๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาในพื้นที่อยู่แล้ว และหลังจากนี้แต่ละหน่วยงาน ทั้งสถาบันอุดมศึกษา สถาบันวิจัย จะเข้าไปดูว่าในแต่ละพื้นที่ที่ตนดูแลหรือเข้าไปเกี่ยวข้อง มีปัญหาอะไรที่ควรจะเข้าไปดูแลจัดการ โดยใช้การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) เข้าไปช่วยในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น ปัญหาผลผลิตเกษตรตกต่ำ ปัญหาสภาพดิน ปัญหาโรคพืช ปัญหาแปรรูปสินค้า ปัญหา PM 2.5. ปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง คุณภาพน้ำ ปัญหาขยะ เป็นต้น” น.ส.สุดาวรรณ กล่าว
14 กรกฎาคม 2568     |      27